Child Care of Early Childhood with Special Need
การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557
บันทึกการเข้าเรียนครั้งที่ 15 ( 13 กุมภาพันธ์ 2557 )
การเรียนการสอน
อาจารย์เบียร์สอนเรื่องเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ส่วนใหญ่มักมีปัญหาทางการเรียนดังนี้
อาจารย์เบียร์สอนเรื่องเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ส่วนใหญ่มักมีปัญหาทางการเรียนดังนี้
- การดูแลให้ความช่วยเหลือเด็ก
- การสร้างเเรงบวก
- รู้จักลักษณะของเด็กที่มีสัญญาณเตือน
- จัดทำแฟ้มข้อมูลเกี่ยวกับเด็ก
- สังเกตุติดตามความสามารถ
- สังเกตุการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน
- IEP
- Ritalin มีใช้ในประเทศไทยเป็ยส่วนใหญ่
- Dexedrine มีใช้ในต่างประเทศ
- Cylert ใช้ในต่างประเทศ
- สำนักงานบริหารการศึกษาพิเศษ
- โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์
- โรงเรียนเฉพาะความพิการ
- สถาบันราชานุกูล
- ศูนย์การศึกษาพิเศษ
สรุปความรู้ที่ได้รับจากการดู VDO เรื่อง เรียนอย่างไรใช้ศูนย์การศึกษพิเศษ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเด็กพิเศษ
- การช่วยบำบัดเเละส่งเสริมเด็กพิเศษ มี การพัฒนาผ่า่นกิจกรรมเช่น การสร้างความเเข็งเเรงของกล้ามเนื้อมัดใหญ๋เเละมัดเล็กหรือมีการใช้ดนตรีบำบัดเข้ามามีส่วนช่วย
- การฝึกการออกเสียงเพื่อใช้ในการสื่อสาร เช่น พูดเกี่ยวกับสิ่งรอบตัว การเรียนชื่อตนเอง
- ทักษะในการใช้ภาษา การสื่อสารกับผู้อื่น
- ทักษะการช่วยเหลือตนเอง เช่น การทำอาหาร การทำขนม
- การฝึกโครงการวิชาชีพ เช่น โครงการแม่ลูกผูกพัน
- การสรุปองค์ความรู้ที่ได้รับใส่ใน blog
- การสรุปองค์ความรู้ที่ได้รับใส่สมุดจด
- การเรียนรู้ที่ใช้ศูนย์การศึกษาพิเศษ โดยเป็นการเพิ่มเติ่มความรู้ให้แก่ตนเอง ให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องศูนย์การศึกษาพิเศษมากยิ่งขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
บันทึกการเข้าเรียนครั้งที่ 14 ( 6 กุมภาพันธ์ 2557 )
ไม่มีการเรียนการสอนเนื่องจากอาจารย์ไปศึกษาดูงานต่างจังหวัด
ค้นคว้าเพิ่มเติ่ม
เด็กพิการซ้อน (Children with Multiple Disabilities)
ความพิการซ้อน (Multiple Disabilities) หมายถึง
ความบกพร่องร่วมกันมากกว่า 1 ลักษณะที่เกิดขึ้นต่อบุคคล (Simultaneous
impairments) อาทิเช่น บกพร่องทางสติปัญญาร่วมกับตาบอด
หรือบกพร่องทางสติปัญญาร่วมกับความผิดปกติของกระดูกและกล้ามเนื้อ
โดยปกติแล้ว สำหรับเด็ก ความซ้ำซ้อนเหล่านี้มักก่อให้เกิดปัญหาในการเรียนรู้
เนื่องจากเด็กไม่สามารถเข้ารับการศึกษาพิเศษที่เหมาะสมต่อความบกพร่องทางใดทางหนึ่งเพียงอย่างเดียวได้
เด็กพิการซ้อนมักมีปัญหาความผิดปกติที่หลากหลาย
ซึ่งมักได้แก่ การพูด การเคลื่อนไหวร่างกาย การเรียนรู้ การมองเห็น การได้ยิน
ความบกพร่องทางสติปัญญา เป็นต้น นอกจากนี้
เด็กยังอาจมีภาวะสูญเสียการรับรู้ทางประสาทสัมผัส (Sensory
Losses) รวมทั้งมีปัญหาด้านพฤติกรรมและสังคม
เด็กพิการซ้อนแต่ละราย
จะมีความแตกต่างกันทางลักษณะและระดับความรุนแรงของอาการ
เด็กกลุ่มนี้มักมีความบกพร่องทางการได้ยินและมีปัญหาในการประมวลผลของสิ่งที่ได้ยิน
รวมถึงมีข้อจำกัดในการพูด การเคลื่อนไหวของร่างกาย
เด็กอาจมีความลำบากในการปฏิบัติและจดจำ
อีกทั้งยังไม่สามารถนำทักษะที่มีไปปรับใช้ได้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป
เพราะฉะนั้นแล้ว ความช่วยเหลือและการสนับสนุนเด็กกลุ่มนี้ให้ได้รับโอกาสในการมีชีวิตที่ดี
ซึ่งวิธีการดูแลและรักษาความพิการซ้อนจะแตกต่างกันไปในเด็กแต่ละราย
โดยพิจารณาจากสาเหตุและลักษณะพฤติกรรมที่เด็กแสดงออก
เด็กพิการซ้อนมีลักษณะอย่างไร?
เด็กที่มีปัญหาพิการซ้อนอาจแสดงลักษณะได้หลากหลายรูปแบบ
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะความซ้ำซ้อน (Combination) ความรุนแรงของความพิการ (Severity of Disabilities) รวมทั้งปัจจัยเรื่องอายุด้วย
อย่างไรก็ตาม ลักษณะปัญหาที่พบได้บ่อย มักมีลักษณะดังนี้
- ปัญหาด้านจิตใจ
- มีความรู้สึกเหมือนถูกขับไล่ออกจากสังคม
- ปลีกตัวจากสังคม
- กลัว โกรธ และไม่พอใจเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันหรือเมื่อถูกบังคับ
- ทำร้ายตัวเอง
- ปัญหาด้านพฤติกรรม
- ยังคงแสดงพฤติกรรมเหมือนเด็กแม้จะโตขึ้น
- ขาดความยับยั้งชั่งใจ
- มีความยากลำบากในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
- มีทักษะในการดูแลและพึ่งตัวเองที่จำกัด
- ปัญหาด้านร่างกาย
- มีความผิดปกติของร่างกาย (Medical problems) อื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อาการชัก (Seizures) การสูญเสียการรับรู้ทางประสาทสัมผัส (Sensory Loss) ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ (hydrocephalus) และกระดูกสันหลังโค้ง (Scoliosis)
- เชื่องช้าและงุ่มง่าม
- มีความบกพร่องในการกระทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
- ปัญหาทางด้านการเรียนรู้
- มีปัญหาในการคัดลายมือหรือเขียนหนังสืออันเนื่องมาจากความบกพร่องของกล้ามเนื้อมัดเล็ก (Fine-motor deficits) และปัญหาความไม่สัมพันธ์ของมือและตา
- มีข้อจำกัดในการพูดและสื่อสาร
- ลืมทักษะบางอย่างเมื่อไม่ได้ใช้
- มีปัญหาในการเข้าใจ รับมือ หรือนำทักษะที่มีมาปรับใช้ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป
- ขาดความคิดระดับสูง (High level thinking) ส่งผลให้มีปัญหาในการทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ
- มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาที่ต่ำ
- มีระดับจินตนาการและความเข้าใจความคิดที่เป็นนามธรรมอย่างจำกัด
- มีผลการสอบระดับต่ำ
- ไม่สามารถระบุตำแหน่งของแหล่งเกิดเสียงได้
- หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม
- มีปัญหาในการเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งของและความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งของ
วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557
บันทึกการเข้าเรียนครั้งที่ 13 ( 30 มกราคม 2557 )
การเรียนการสอน
อาจารย์สอนเนื้อหา เรื่อง การดูแลและส่งเสริมพัฒนาการเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
เด็กกลุ่ม (Down’s syndrome)
- รักษาตามอาการ
- แก้ไขความผิดปกติที่พบร่วมด้วย
- ให้เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในชีวิตประจำวัน และใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ใกล้เคียงกับตนปกติมากที่สุด
- เน้นการดูแลแบบองค์รวม ( holistic approach)
- บิดามารดาพาบุตรไปพบแพทย์ ตั้งแต่เริ่มแรก ติดตามการรักษาเป็นระยะๆ
- เด็กกลุ่มอาการดาวน์สามารถพัฒนาได้ ถ้าได้รับการฝึกสอนที่เหมาะสม
- ฝึกให้ช่วยเหลือตนเอง
- ทางการแพทย์ การฝึกพูด กายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด
- ทางการศึกษา แผนการศึกษาเฉพาะบุคคล IEP
- ทางสังคม การฝึกทักษะการดำรงชีวิต
- ทางอาชีพ โดยการฝึกอาชีพ
การเลี้ยงดูในช่วง 3 เดือนแรก
- การปฏิบัติของบิดา มารดา ยอมรับความจริง
- เด็กกลุ่มอาการดาวน์มีพัฒนาการเป็นขั้น เช่นเดียวกับเด็กทั่วไป
- ให้ความรักและความอบอุ่น
- การตรวจภายใน มะเร้งปากมดลูก เด้านม
- การคุมกำเนิด การทำหมัน การสอนเพศศึกษา ตรวจโรคหัวใจ
- กลุ่ม Autistic ส่งเสริมความเข้มแข้งครอบครัว การสอนเพศศึกษา ตรวจโรคหัวใจ
- ส่งเสริมความสามารถของเด็ก มีบทบาทสำคัญที่สุด
การสื่อความหมายทดแทน (ACC) ส่งเสริมความสามารถของเด็ก ได้เล่นของเล่นที่หลากหลาย และทำกิจกรรมที่หลากหลาย
- ศิลปกรรมบำบัด (Art Therapy) ปรับพฤติกรรม ฝึกทักษะทางสังคม ให้รงเสริม
- ตนตรีบำบัด การฝึกพูด การสื่อความหมายทดแทน (ACC)
- การฝังเข็ม การฝึกพูด การมีสมาธิ การฟัง การทำตามคำสั่ง
- การบำบัดด้วยสัตว์ การรักษาด้วยยา Methylphnidate (Ritlin)ช่วยลดอาการไม่นิ่ง/ชน
สะท้อนการเรียนรู้
1. ได้รับความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับความหมาย สาเหตุ เเละการบำบัดเด็กดาว์นซินโดรมที่ถูกต้อง
2. สามารถนำความรู้ที่ได้ในวันนี้มาเป็นความรู้ติดตัวในการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น เเละสามารถนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในการสอนในอนาคตได้อย่างถูกต้อง
บันทึกการเข้าเรียนครั้งที่ 12 ( 23 มกราคม 2557 )
การเรียนการสอน
เพื่อนกลุ่มสุดท้ายได้นำเสนอเรื่อง เด็กออทิสติก ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. ทำให้เรารู้ถึงลักษณะ ความหมาย สาเหตุของโรคที่ละเอียดของเด็กออทิสติก
3. สามารถนำความรู้ที่ได้รับ มาปรับใช้ในการเรียน การทำข้อสอบ เเละการสอนเด็กในอนาคตซึ่งเราอาจจะได้สอนเด็กพิเศษที่ร่วมมาในชั้นเรียนก็เป็นได้
เพื่อนกลุ่มสุดท้ายได้นำเสนอเรื่อง เด็กออทิสติก ซึ่งสรุปได้ดังนี้
Autism คืออะไร
โรค Autism เป็นความผิดปกติในสมอง เด็กที่เป็นจะมีปัญหาเรื่อง การสื่อสาร
ความสัมพันธ์ กับคนรอบข้างและสิ่งแวดล้อม เด็กบางคนสามารถสื่อสารกับผู้อื่นและก็มีความฉลาด
แต่เด็กบางคนเป็นเด็กปัญญาอ่อน ไม่พูด เด็กบางคนก็มีพฤติกรมทำซ้ำซาก
จะเห็นว่าเด็กแต่ละคนมีอาการไม่เหมือนกัน ความรุนแรงไม่เท่ากัน
แต่จะมีปัญหาทางสังคม การสื่อสาร พฤติกรรม กล้ามเนื้อและความรู้สึก
เด็กที่เป็น Autism
|
เด็กปกติ
|
การสื่อสาร
|
|
ไม่มองตา
เหมือนคนหูหนวก
เคยพูดได้ต่อมาหยุดพูด
|
ดูหน้าแม่
หันไปตามเสียง
เรียนรู้คำพูดเพิ่มเติม
|
ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
|
|
เด็กจะไม่สนใจคนรอบข้าง
ทำร้ายคนโดยไม่มีสาเหตุ
จำคนไม่ได้
|
เด็กจะร้องเมื่อออกจากห้อง
หรือมีคนแปลกหน้าเข้าใกล้
ร้องเมื่อหิวหรือหงุดหงิด
จำหน้าแม่ได้
|
ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
|
|
นั่งเล่นอย่างใดอย่างหนึ่ง
มีพฤติกรมแปลกๆเช่นนั่งโบกมือ
ดมหรือเลียตุ๊กตา
ไม่รู้สึกเจ็บปวด ชอบทำร้ายตัวเอง
|
เปลี่ยนของเล่น
การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างมีจุดมุ่งหมาย
เช่นการหยิบของ
สำรวจและเล่นตุ๊กตา
ชอบความสุขและกลัวความเจ็บ
|
อาการทางสังคม
เมื่อยังเป็นเด็กจะมีการพัฒนาพฤติกรรมปกติกล่าวคือเด็กจะจ้องมองหน้าและตา
หันไปตามเสียงหรือแสง จับนิ้วมือ ยิ้ม เด็กที่เป็น autism จะไม่สบตาพ่อแม่มักจะชอบอยู่คนเดียว เด็กไม่ชอบการกอดรัด
เด็กจะเหมือนหุ่นไม่แสดงออกถึงความรัก ความโกรธ ไม่ร้องไห้เมื่อแม่ออกนอกห้อง
ไม่ดีใจเมื่อแม่กลับเข้ามา
เด็กจะมีปัญหาการเรียนรู้
เด็กจะไม่รู้ความหมายของการยิ้ม ไม่เข้าใจภาษาทางร่างกาย เช่นการกอด การจูบ ไม่เข้าใจท่าทางแสดความโกรธ
จากปัญหาต่างๆดังกล่าวเด็กจะไม่สามารถเรียนรู้ความคิด อารมณ์
พฤติกรรมการแสดงออกของผู้อื่น หรือความต้องการของคนอื่น
เด็กบางคนจะแสดงความก้าวร้าวออกมา
เด็กจะไม่สามารถควบคุมตัวเองในในสิ่งแวดล้อมใหม่หรือที่ๆแออัดหรือเวลาโกรธไม่พอใจ
เด็กจะทำลายของเล่น หรือทำร้ายผู้อื่นหรือทำร้ายตัวเอง
ปัญหาด้านภาษา
เด็กปกติแรกคลอกจะมีการพูดแบบเด็กๆคืออ้อแอ้ไม่เป็นภาษา
เมื่อโตขึ้นก็จะหัดพูดเป็นคำๆ หันหน้าไปตามเสียงเรียกชื่อ ชี้สิ่งที่ตัวเองต้องการ
เมื่อโตขึ้นเด็กก็จะพูดประโยคสั้นๆได้ ทำตามคำสั่งง่ายๆได้
เด็กที่เป็น autism ภายใน 6 เดือนแรกก็จะพูดอ้อแอ้หลังจากนั้นจะหยุดพูด
บางคนจะหยุดพูดตลอดไป การสื่อสารจะใช้สัญลักษณ์ เด็กบางคนเริ่มหัดพูดเมื่ออายุ 5-8
ปี เด็กบางคนจะพูดเป็นคำๆ เด็กไม่สามารถผสมคำได้อย่างมีความหมาย
เด็กบางคนเลียนแบบคำพูดของคนอื่นหรือจำจากทีวี
การพูดซ้ำมักจะพบได้เด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี เด็ก autism เด็กอาจจะพูดใช้ความหมายผิดเช่นอยากออกนอกบ้านแต่เด็กใช้คำว่าขึ้นรถแทนคำว่าออกไปข้างนอก
เด็กจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่าฉัน ของฉัน เธอ เช่น คุณชื่ออะไร
เด็กจะตอบว่าคุณชื่อนนท์(ชื่อของเด็ก)
การแสดงความรู้สึกบนใบหน้าก็เป็นปัญหาสำหรับเด็ก autism จะไม่สามารถแสดงสีหน้าหรือท่าทางเพื่อแสดงดีใจ
เสียใจ โกรธ น้ำเสียงก็ไม่มีสูงหรือต่ำเสียงเหมือนหุ่นยนต์ เนื่องจากเด็กไม่สามารถใช้ภาษาแสดงว่าต้องการอะไร
เด็กจะใช้วิธีร้องหรือแย่งของแทนที่จะขอ
พฤติกรมที่ทำซ้ำๆ
เด็ก autism จะมีร่างกายปกติแต่มักจะมีพฤติกรรมที่ทำซ้ำๆทำให้ไม่สามารถเล่นกับเด็กคนอื่น
เด็กอาจจะนั่งเคาะโต๊ะ
หรือโบกมืออยู่เป็นชั่วโมง
เด็กนั่งโยกหน้าโยกหลังเป็นเวลานาน
เด็กอาจจะมีพฤติกรรมที่ซ้ำๆ
เช่นวิ่งเข้าห้องนี้ไปห้องโนน
เด็กอาจจะคว้ามือคนอื่นให้ดูนาฬิกาตัวเองอยู่ตลอดเวลา
หรืออาจะเอาอุจาระออกจากห้องน้ำเข้าห้องเรียน
เด็กจะไม่ยอมให้เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมเช่น
นั่งโต๊ะตัวเดียง กินอาหารเวลาเดียวกัน เด็กจะโกรธมากหากสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป
เช่นตำแหน่งของช้อน เก้าอี้ รูปภาพ
เด็กเล็กจะมีจิตนาการ
เช่นสมมุติตัวเองเป็นแม่ หรือแม่ค้า เอาชามใส่แทนหมวก แต่เด็กที่เป็น autism จะไม่มีจินตนาการเช่นนี้
ปัญหาเกี่ยวกับการรับรู้
เด็กปกติจะมีการรับรู้สิ่งแวดล้อมจากสัมผัสทั้ง
5 และสมองก็สามารถที่จะแปลผลนั้นได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
แต่เด็กautism จะมีปัญหาเรื่องการรับรู้จากสัมผัสทั้ง 5ทำให้เด็กสับสน เด็กอาจจะรู้สึกเจ็บปวดเมื่อต้องสัมผัสบางอย่างเช่น
รูป รส กลิ่น เสียง
เด็กบางคนเมื่อใส่เสื้อผ้าจะทำให้เด็กไม่มีสมาธิทำอย่างอื่น
เด็กบางคนจะรู้สึกอึกอัดเมื่อถูกกอด
เด็กบางคนอาจจะกรีดร้องเมื่อได้ยินเสียงเครื่องบิน เสียงโทรศัพท์หรือเสียงอื่นๆ
เด็กบางคนจะไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ไม่รู้สึกเจ็บปวดเด็กอาจจะหกล้มกระดูกหักแต่ไม่ร้องเลย
หรืออาจจะเอาหัวโขกกำแพงโดยที่ไม่ร้อง
สะท้อนการเรียนรู้
2. ทำให้ได้รับความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องเด็กพิเศษที่เป็นออทิสติกมากยิ่งขึ้น
3. สามารถนำความรู้ที่ได้รับ มาปรับใช้ในการเรียน การทำข้อสอบ เเละการสอนเด็กในอนาคตซึ่งเราอาจจะได้สอนเด็กพิเศษที่ร่วมมาในชั้นเรียนก็เป็นได้
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557
บันทึกการเข้าเรียนครั้งที่ 11 ( 15 มกราคม 2557 )
ไม่มีการเรียนการสอน เนื่องจากมีสถานการณ์ชุมนุมทางการเมือง
นำวิจัยที่หาได้มาหา
1.ชื่องานวิจัย/ชื่อผู้วิจัย/มหาวิทยาลัย
2.ความสำคัญและความเป็นมาของงานวิจัย
3.วัตถุประสงค์ของการวิจัย
4.ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
5.นิยามศัพท์เฉพาะ
6.ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง
7.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
8.การดำเนินการวิจัย
9.สรุปผลการวิจัย
10.ความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่องานวิจัยชิ้นนี้
เขียนหรือพิมพ์ก็ได้
วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557
บันทึกการเข้าเรียนครั้งที่ 10 ( 9 มกราคม 2557 )
การเรียนการสอน
อาจารย์เบียร์ได้ให้เพื่อนๆแต่ละกลุ่มออกไปนำเสนองานกลุ่มของตนเองมีดังนี้
เด็กภาวะการเรียนบกพร่อง
อาจารย์เบียร์ได้ให้เพื่อนๆแต่ละกลุ่มออกไปนำเสนองานกลุ่มของตนเองมีดังนี้
- กลุ่มที่ 1 ภาวะการเรียนบกพร่อง
- กลุ่มที่ 2 เด็กสมองพิการ
- กลุ่มที่ 3 เด็กสมาธิสั้น
- กลุ่มที่ 4 ดาว์นซินโดรม
เด็กภาวะการเรียนบกพร่อง
- ความบกพร่องของกระบวนการเรียนรู้ ที่เกิดจาการทำงานที่ผิดปกติของสมองทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าความเป็นจริง
- สาเหตุเกิดจาก ความผิดปกติของการทำงานของสมอง ที่ไม่สามารถถอดรหัสตัวอักษรออกมาได้
- ประเภทของเด็กภาวะการเรียนบกพร่อง ด้านการเขียนและสะกดคำ ด้านการอ่าน ด้านการคำนวณเเละหลายๆด้านร่วมกัน
- เด็กที่มีภาวะปัญญาอ่อนซึ่งมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมเพราะความผิดปกติขิงโครโมโซมจะมีอยู่ในเซลล์ร่างกายมนุษย์ แต่ละคนจะมีโครโมโซม 23 คู่ หรือ 46 แท่ง มีหน้าที่เเสดงลักษณะของคนนั้นๆออกมา
- สาเหตุดาว์นซินโดรม โครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง พบได้ร้อยละ 95 % โครโมโซมคู่ที่ 14 มายึดติดกับคู่ที่ 21 พบได้ร้อยละ 4 และมีโครโมโซมทั้งปกติในคนเดียวกันได้พบได้ร้อยละ 1
- ลักษณะของเด็กดาว์นซินโดรม ศีรษะเล็ก หน้าเเบน สันจมูกแบน ตาเล็กเฉียงขึ้น หูเล็ก ช่องปากเล็ก เพดานปากสูง คอสั้น เเขนขาสั้น มือแบนกว้าง นิ้วมือนิ้วเท้าสั้น ฝ่าเท้าสั้น
- เป็นความผิดปกติด้านพฤติกรรมเกิดจากการทำงานที่ไม่เหมาะสมของสมองโดยเฉพาะสมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสมาธิทำให้เกิดการทำงานที่ไม่สัมพันธ์กับระบบสั่งงานอื่นๆ
- สาเหตุเด็กสมาธิสั้น สารเคมีในสมอง พันธุกรรมที่มีต่อสมอง ภาวะสมาธิสั้นมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
- ลักษณะอาการเด็กสมาธิสั้น ไม่มีสมาธิ อาการอยู่ไม่สุข ขาดความยับยั้งชั่งใจ อดทนรออะไรไม่ได้
- ผู้ป่วยเด็กที่มีความพิการอย่างถาวรของสมองความพิการนี้จะคงที่เเละไม่ลุกลามต่อไปซึ่งมีผลให้การประสานงานของการทำงานของกล้ามเนื้อบกพร่องส่งผลให้ร่างกายมีการเคลื่อนไหวเเละการทรงตัวที่ผิดปกติ
- สาเหตุเด็กพิการทางสมอง ระยะที่เด็กอยู่ในครรถ์มารดาหรือระยะก่อนคลอด ระยะระหว่างคลอด ระยะหลังคลอด
- อาการ ภาวะปัญญาอ่อน ด้านการรับรู้ ด้านอารมณ์สังคม โรคลมชัก ด้านการมองเห็น ด้านการได้ยิน การสื่อความหมาย ด้านกระดูก ด้านฟันเเละร่องปาก
สะท้อนการเรียนรู้
- ได้รับความรู้เเละเข้าใจในเรื่องอาการ สาเหตุของการเกิดฌโรคต่างๆในเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
- เป็นการสรุปเนื้อหาการเรียนการสอนไปในตัว สามารถทบทวนความรู้ก่อนที่จะสอบได้เป็นอย่างดี
- ได้รับความสนุกสนานในการมีส่วนร่วมในการตอบคำถามของเพื่อนๆในแต่ละกลุ่ม
ภาพกิจกรรมการเรียนการสอน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)